สุเทพ
พงษ์ศรีวัฒน์ ได้พบว่า จิม คอลลินส์
ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของผู้นำมีผลสำคัญต่อความสามารถในการเปลี่ยนองค์กร จาก “ดี” ธรรมดาให้เป็นองค์กรที่ “ดีสุดยอด”
ผู้นำขององค์กรที่ดีสุดยอดจะมีลักษณะที่คล้ายหรือเหมือนกันเกือบหมด
เรียกได้ว่า ออกมาจาก “เบ้าหลอม” เดียวกัน
สิ่งที่ผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าวสรุปมาได้มาจากผลการศึกษาวิจัยล้วนๆ
เนื่องจากเป็นการยากที่จะหาชื่อที่เหมาะสมสำหรับเรียกผู้นำขององค์กรเหล่านี้ จึงเรียกด้วยภาษาง่ายๆ
ว่า เป็นผู้นำในระดับที่ห้า (Level
5 Leadership) โดยมีการแบ่งว่า
เมื่อคนเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำนั้น จะสามารถแบ่งผู้นำที่ดีออกเป็น 5 ระดับ
โดยในสี่ระดับแรกประกอบไปด้วย
ระดับที่หนึ่ง หรือ High Capable Individual เป็นผู้ที่มีความสามารถเฉพาะตัวที่ดี
ทั้งทักษะ ความรู้ ความสามารถ และพฤติกรรมในการทำงานที่ดี ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร
ระดับที่สอง หรือ Contributing Team Member เป็นผู้ที่สามารถทำงานเป็นทีมได้ดี
สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น และช่วยให้กลุ่มและทีมบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
ระดับที่สาม หรือ Competent Manager เป็นผู้ที่สามารถบริหารบุคลากรและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายขององค์กร
ระดับที่สี่ หรือ Effective Leader เป็นพวกผู้นำที่สามารถ
นั้นคือทำให้ทุกคนเกิดความมุ่งมั่น กำหนดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน
และสามารถจูงใจให้บุคลากรทุกคนทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ดังกล่าว
ท่านผู้อ่านจะเห็นว่า
ในสี่ระดับข้างต้นจะเป็นลักษณะของบุคลากร
และผู้นำในองค์กรที่เราพบเจอในหนังสือภาวะผู้นำทั่วๆ ไป
แต่ในองค์กรที่สามารถปรับตนเองจากดีธรรมดา ให้เป็นดีสุดยอดได้นั้น ต้องมีลักษณะของผู้นำระดับที่ห้า
ผู้นำระดับที่ห้า คือ ผู้นำกลุ่มนี้
ไม่เพียงแต่มีคุณลักษณะตาม “ สี่อันดับแรก”
แล้ว จะมีความแตกต่าง คือ
จะต้องสร้างความสุดยอดอย่างยั่งยืนให้กับองค์กรได้ด้วยคุณสมบัติที่สำคัญ 2 ประการ
ได้แก่ ความมุ่งมั่นที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ กับ ความถ่อมตัว
การที่ผู้นำระดับที่ห้าเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพถ่อมตัว ไม่ได้หมายความว่า
ผู้นำดังกล่าวจะต้องขี้กลัว ไม่กล้า หรือขาดความทะเยอทะยาน ผู้นำเหล่านี้
อาจจะไม่ชอบความมีชื่อเสียง หรือไม่ชอบเป็นจุดสนใจของคนทั่วไป
แต่พวกเขาก็มีความมุ่งมั่น และทะเยอทะยานเพื่อองค์กร ไม่ใช่เพื่อตัวเอง
คุณสมบัติสำคัญ
สำหรับผู้นำระดับที่ห้า คือ ประการที่หนึ่งความมุ่งมั่นและทะเยอทะยานต่อความสำเร็จขององค์กรเป็นอันดับแรก
จนกระทั่งอาจกล่าวได้ว่าผู้นำเหล่านี้ต้องการเห็นความสำเร็จขององค์กร
มากกว่าความสำเร็จและความร่ำรวยของตนเอง
ผู้นำประเภทนี้จะมีความรักและภักดีต่อองค์กรเป็นอย่างสูง
เสียสละได้แม้กระทั่งความสุขหรือความสำเร็จส่วนตัว เพื่อความสำเร็จขององค์กร
ต้องการเห็นความสำเร็จขององค์กรยั่งยืนและยืดยาวไปถึงผู้บริหารรุ่นต่อๆ
ไปโดยยอมจะอยู่หลังฉากเงียบๆ ไม่ชอบที่จะเปิดเผยตัวว่าเป็นผู้สร้างรากฐาน
และความสำเร็จสำหรับผู้นำรุ่นต่อๆไป
โดยไม่สนใจว่าผู้นำในยุคต่อไปจะคำนึงถึงรากฐานที่ตนเองได้วางไว้หรือไม่
ส่วนพวกผู้นำที่มุ่งเน้นความสำเร็จของตนเอง ต้องการชื่อเสียง เกียรติยศ ทรัพย์สิน
หรือความสำเร็จ
ไม่ถือว่าเป็นผู้นำระดับห้าที่จะนำพาองค์กรของตนเองจากองค์กรดีธรรมดาเป็นองค์กรที่ดีสุดยอดได้
ผมเองก็พบผู้นำระดับที่ห้าอยู่เหมือนกัน ผู้นำเหล่านี้จะตรงกันข้ามกับผู้นำธรรมดาๆ
ที่มุ่งมั่นต่อความสำเร็จของตนเองเป็นหลัก
ไม่ให้ความสนใจต่อการวางรากฐานต่อความสำเร็จขององค์กรในยุคต่อๆไป อย่างไรก็ตาม ท่านผู้อ่านอาจจะเจอผู้นำที่ประสบความสำเร็จในการนำพาองค์กรสู่ความสุดยอดได้
แต่ถ้าเมื่อเขาหลุดจากตำแหน่ง องค์กรก็เริ่มตกต่ำลง
เนื่องจากการขาดการวางรากฐานสำหรับความสำเร็จไว้ตั้งแต่ต้น
ย่อมไม่ถือว่าเขาเป็นผู้นำระดับที่ห้า
ประการที่สอง
เป็นผู้ที่ถ่อมตัวและไม่ถือตัวเองเป็นหลัก
เวลาพูดกับผู้บริหารที่เป็นผู้นำในระดับที่ห้า
ผู้บริหารเหล่านั้นจะไม่พูดถึงสิ่งที่ตนเองได้ทำเลย แต่จะพูดถึงสิ่งที่ผู้บริหาร
หรือผู้ร่วมทีมคนอื่นๆ ได้ทำให้กับองค์กร ต่างจากผู้นำที่เราเห็นหลายๆ
คนที่ชอบถือตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
และมักจะมองว่าความสำเร็จขององค์กรนั้นเกิดขึ้นจากตัวเองเป็นหลัก ผู้นำระดับที่ห้าค่อนข้างเป็นคนถ่อมตัว
เก็บตัว เงียบ ขี้อาย หรือแม้กระทั่งหลายๆ ครั้งอาจจะดูไม่มั่นใจ
บุคคลเหล่านี้ไม่เคยต้องการที่จะเป็นผู้นำประเภทที่โดดเด่น เป็นที่รู้จักของวงการ
แต่ขณะเดียวกัน ผู้นำประเภทนี้ไม่ได้เป็นคนใจอ่อนหรือโลเล สิ่งที่ จิม คอลลินส์ พบจากงานวิจัยของเขาก็คือ
ผู้นำที่สามารถนำพาองค์กรสู่ความสุดยอดได้นั้น
จะมีความมุ่งมั่นต่อความสำเร็จขององค์กรเป็นอย่างสูง และจะทำทุกอย่างและทุกวิธีทาง
(ในสิ่งที่ถูกต้อง) เพื่อนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จ ดังนั้นในหลายๆ ครั้งเราอาจจะเจอผู้นำระดับที่ห้า ที่อาจจะดูใจร้ายก็ได้
เช่น ไล่ญาติตนเองออก หรือ ปิดโรงงานบางแห่งไป
ซึ่งถึงแม้จะดูใจร้ายแต่ก็ทำเพื่อความสำเร็จขององค์กร
ประการที่สาม
ผู้นำเหล่านี้มักจะมาจาก “ภายในองค์กร” จากหลักฐานงานวิจัยของเขาจะไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำระดับที่ห้ากับการเป็นผู้บริหารที่มาจากภายนอกองค์กร
ประการที่สี่
ผู้นำในระดับที่ห้าส่วนมากมักพูดถึงความสำเร็จขององค์กร ว่า
สาเหตุหลักประการหนึ่งมาจาก “ดวงหรือโชค” (Luck) เช่น
ผู้บริหารที่เป็นผู้นำระดับที่ห้า คนหนึ่งระบุเลยว่า
สาเหตุที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จก็คือ ความโชคดีที่สามารถหาคนที่จะมาแทนเขาได้เหมาะสม
ผู้บริหารอีกท่านหนึ่งที่เขียนหนังสือออกมา
ตั้งชื่อหนังสือไว้อย่างเก๋ไก๋เลยว่า I’m a Lucky Guy หรือ “ผมเป็นคนโชคดี”
ถามว่าทำไมผู้นำเหล่านี้ถึงมักจะให้ความสำคัญกับโชค
เนื่องจากผู้นำระดับที่ห้า เมื่อสามารถนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จ ก็มักจะมองออกไปจากตัวเองเพื่อหาบุคคลหรือเพื่อนร่วมงานที่จะรับความดีความชอบ
แต่ถ้าหาใครไม่ได้ เขามักสรุปให้ไปลงเอยที่ “ โชค” เรียกได้ว่าเมื่อความสำเร็จเกิดขึ้น
มักชอบนึกว่าเป็นโชคดีของตนเองที่มีเพื่อนร่วมงานและลูกน้องที่ดี ทางตรงกันข้าม
เมื่อเหตุการณ์ไม่ดี ผู้นำเหล่านี้กลับ “ ไม่โทษโชคชะตา”
แต่จะมองว่าสาเหตุของความผิดพลาดและล้มเหลวมาจาก “ ตนเอง”ลักษณะดังกล่าวจะตรงกันข้ามกับ
ผู้นำทั่วๆไปที่เมื่อสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น มักจะโทษโชค แต่เมื่อมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น
มักจะหันกลับมามองที่ตัวเอง และคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ
ที่มา http://suthep.cru.in.th
ที่มา http://suthep.cru.in.th
ที่มา http://suthep.cru.in.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น